ฉันไม่ใช่นางเอก 34

บทที่ 34 คืนดี

วันถัดมาหลังจากซ่งหนานชวนและเผยอิงคืนดีกันนั้น บทที่ 5 ของซีรีย์เว่ยป๋อก็ถูกโพส

“เผยอิงกับซ่งหนานชวนอาจจะคืนดีกันแล้วก็เป็นได้! ซีอีโอซ่งช่วยคนงามขึ้นมาจากสระน้ำ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแฟนหนุ่มสุดเท่!”

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าปาปารัสซี่พวกนี้เข้าไปในงานเลี้ยงของยูนิเวิร์สได้ยังไง แต่มีกระทั่งรูปประกอบเรื่องด้วย – ซ่งหนานชวนกระโดดลงสระไปช่วยเผยอิง รูปเขาถอดเสื้อสูทไปคลุมตัวเผยอิง และก็อุ้มเธอออกไป

ชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องนี้อยู่นั้นระเบิดตูมตามทันที

“ว้าย สาวงามตกน้ำแบบนี้! พนัน 50 เซ็นต์เลยว่าซ่งหนานชวนห้ามตัวเองไม่ได้แน่นอน!* (บ้องแบ้ว)

“ซีอีโอซ่งน่ะขี้หวงสิ้นดี! คลุมไว้ดีจนพวกเราไม่เห็นอะไรสักอย่างแน่ะ (แคะขี้มูก)”

“ท่าเจ้าหญิง!!! สุดยอดเลย พลังแฟนหนุ่มของซ่งหนานชวนน่ะพุ่งทะลุปรอทแล้ว!”

“จากการประเมินทางสายตาแล้ว ทั้งสูทกับนาฬิกาซ่งหนานชวนน่ะแพงระเบิด แล้วเขาก็กระโดดลงน้ำไปแบบนั้นเลย (ยิ้ม) ผมล่ะนับถือคุณจริงๆ ผู้ชายเต็มร้อย (ยิ้ม)”

“พวกเขาคืนดีกันอีกแล้ว (บาย) การทะเลาะกันนี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เลิกกันแต่เป็นแค่การแสดงความรักเท่านั้นสินะ (บาย)”

“บอกตรงๆเลยว่า คนงามแบบนี้เป็นการขัดขืนธรรมชาติจริงๆ จากฝูงชนแทะเมล็ดแตง”

“เหมือนว่าการชื่นชมคนงามของซีอีโอซ่งน่ะจะเป็นเรื่องปกตินะ (หัวเราะจนน้ำตาไหล)”

ส่วนเว่ยป๋อของเผยอิงนั้นเต็มไปด้วยคำปลอบโยนของเหล่าแฟนคลับ แต่เธอยุ่งกับการถ่ายหนังมากเกินกว่าที่จะตอบ หลังจากเลิกกองค่ำวันนั้น ซ่งหนานชวนก็มุ่งตรงไปรับเธอ พอพวกเขาคืนดีกัน เขาก็คะยั้นคะยออย่างจริงจังให้เธอย้ายกลับไปอยู่บ้านเขา

เผยอิงปล่อยให้ผู้ช่วยตัวเองกลับบ้านก่อนขึ้นรถซ่งหนานชวน คนขับนั้นมุ่งหน้าไปที่อพาร์ตเมนท์ของเผยอิงก่อนเพื่อไปย้ายของ ซ่งหนานชวนชูกล่องอาหารหรูหราขึ้นมาตรงหน้าเธอ “อยากทานไหม”

“แน่นอน!” เผยอิงรับกล่องอาหารมาจากมือเขาอย่างเริงร่า เปิดกล่องออกมาเจออาหารที่มักจะทำที่บ้านบ่อยๆ “ดูแวบเดียวก็รู้ว่ามาจากร้านน่ะ อาหารทำกินที่บ้านไหนจะหรูขนาดนี้เนี่ย”

เธอหยิบตะเกียบ คีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก ซ่งหนานชวนมองเธอกินอย่างมีความสุข เขาหัวเราะก่อนถาม “พวกเขาไม่ให้เธอกินข้าวเลยเหรอไง ฉันจำได้ว่าอาหารของยูนิเวิร์สก็อร่อยดีออก”

เผยอิงตอบ “พวกเราได้อาหารวันละสองกล่องเอง ไม่เห็นจะอิ่มเลยสักนิด”

“กินดึกขนาดนี้ เธอไม่กลัวน้ำหนักขึ้นเหรอไง ว่าแต่ถ่ายละครเรื่องนี้ เธอไม่ได้กินแต่เนื้อหรอกเหรอ”

เผยอิงสำลัก “ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ งานเยอะขนาดนี้ แล้วก็ปกติแล้วน้ำหนักฉันไม่ขึ้นง่ายๆ ด้วย” เธอเหลือบมองซ่งหนานชวน “คุณพูดแบบนี้ เป็นห่วงว่าฉันจะอ้วนขึ้นเหรอคะ”

“ไม่สักนิด ใครจะไปรู้ น้ำหนักเพิ่มอีกนิดอาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นภายใต้มือฉันก็ได้”

ริมฝีปากเผยอิงกระตุก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเสียดายอาหาร เธอคงเอาอาหารในมือละเลงหน้าเขาไปแล้วนะเนี่ย

พอเธอกินจนหมด รถก็มาถึงหน้าอพาร์ตเมนท์ของเธอ ซ่งหนานชวนตามเธอขึ้นไปช่วยเธอเก็บข้าวของ พลางเอ่ย “น่าจะให้เฉินเซิงปล่อยห้องเธอไปนะ”

“ไม่ดีกว่า” เผยอิงคุดคู้อยู่บนพื้น รูดซิบกระเป๋าเดินทาง ก่อนยืนขึ้นมองคิ้วซ่งหนานชวนกระตุก เขามองเธอถาม “ทำไมล่ะ เธอก็จ่ายค่าเช่าอยู่นี่น่า ไม่ใช่เหรอไง”

“อืมม์ แต่ฉันสบายใจกว่าถ้ามีห้องอยู่นี่ ไม่งั้นถ้าพวกเราทะเลาะกันอีกฉันจะไปอยู่ที่ไหนได้ล่ะ”

“….” ซ่งหนานชวนห่อปากเอ่ย “พวกเราจะไม่ทะเลาะกันอีก”

เผยอิงตอบแบบไม่เชื่อ “มีคู่ไหนไม่ทะเลาะกันบ้างล่ะ” เธอเลิกคิ้ว “ตอนนี้คุณอาจจะทำตัวติดฉันอยู่ แต่อีกไม่กี่นาทีถัดมาพวกเราอาจจะทะเลาะกันก็ได้ ฉันต้องเหลือทางถอยให้ตัวเองไว้บ้างสิคะ”

ซ่งหนานชวน “….”

เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อยเอ่ย “เวลาเธออยู่กับฉัน เธอรู้สึกไม่มั่นคงขนาดนั้นเชียวเหรอ” แน่นอนอยู่แล้วว่าหลังจากที่พวกเขาทะเลาะกันไปครั้งหนึ่ง ระดับความเชื่อมั่นในตัวเขาต้องตกลงฮวบฮาบแน่ๆ!

เผยอิงคว้ากระเป๋าเดินทางขึ้นมา มองเขาเอ่ย “ผู้ชายแบบคุณน่ะเป็นคนที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกว่ามีความมั่นคง แต่สำหรับผู้หญิงแล้ว ความมั่นคงนั้นไม่ควรจะขึ้นกับผู้ชายอย่างเดียว สำหรับฉันแล้ว จะรู้สึกแบบนั้นได้ต้องมีเงิน เงินของตัวเองด้วย”

ซ่งหนานชวนเงียบไปอีกพักหนึ่ง ก่อนพูดกับเผยอิง “การที่เธอต้องเสียทั้งค่าเช่าและค่าอะไรไปกับห้องที่ไม่มีคนอยู่แบบนี้ที่มันไม่มีประสิทธิ์ภาพทางการเงินเลย ฉันจะซื้อบ้านให้ ใส่ชื่อเธอด้วย แล้วเธอก็จะมีทรัพย์สินเป็นของตัวเอง”

“…นั่นมันไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย ฉันบอกอยู่นี่ไงว่าเงินที่ฉันหาเอง! พอฉันหาเงินได้พอแล้ว ฉันจะซื้อบ้านของตัวเอง ไม่ต้องให้คุณมาซื้อให้หรอก ฮึ!”

ซ่งหนานชวนยิ้มให้เธอ “เธอจะอยากได้หรือเปล่าก็เป็นเรื่องของเธอ การที่ฉันจะซื้อหรือเปล่าก็เป็นเรื่องของฉัน ฉันอยากซื้อบ้านให้เธอ”

เผยอิง “….”

เธอรู้สึกว่าบนแก้มของซ่งหนานชวนนั้นมีคำสองคำเขียนแปะอยู่ ข้างซ้าย: รวย ข้างขวา: รั้น

เผยอิงตัดสินใจหยุดเถียงกับเขา ก่อนทั้งคู่จะช่วยกันลากข้าวของออกมา คนขับมาช่วยขนเข้าไปในรถ และพวกเขาก็มุ่งตรงไปที่วิลล่าของซ่งหนานชวน

พอพวกเขาออกจากรถ ก่อนถึงตัวบ้านนั้นเอง เหล่าแมวจรของเผยอิงก็วิ่งออกมา ร้องเหมียวๆ วนรอบตัวเธอ เผยอิงย่อตัวลงลูบหัวพวกมัน “เจ้าเฮย เจ้าฮวา ตอนที่ฉันไม่อยู่ เขาดูแลพวกเธอดีไหม”

“เมี้ยว~” เจ้าเฮยเงยหน้ามองเธอ

ซ่งหนานชวนยืนอยู่ด้านหลัง ถลึงตามองพวกแมวข้างเท้าเธอ “ฉันดูแลพวกมันดีพอๆ กับบรรพบุรุษฉันเลย!”

เผยอิงหัวเราะ ลุกขึ้น มุ่งหน้าเข้าบ้านพร้อมกับเหล่าเหมียวๆ ที่ตามเธอไปด้วย

“วันนี้คุณให้อาหารพวกมันหรือยังคะ” เผยอิงถามขณะที่เธอขนข้าวของเข้ามาในห้องนั่งเล่น ซ่งหนานชวนเอ่ย “ฉันเตรียมอาหารแมวกับน้ำสะอาดไว้ให้พวกมันก่อนออกไปตอนเช้านะ” ขณะที่เขาพูดก็เหลือบมองจานข้าวที่ว่างเปล่า “พวกมันกินเสียสะอาดเอี่ยมเลย”
“พวกเธอหิวหรือเปล่า” เผยอิงมองลงไป เหล่าแมวเหมียวก็ร้องออกมา

เธอให้อาหารพวกมันเพิ่ม พอเธอย่อตัวลงเพื่อดูพวกมันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เธอหันไปทางซ่งหนานชวนก่อนถาม “อ้อ แล้วคุณรู้จักชายใส่สูทสองคนไหม”

“สูทอะไรเหรอ” ซ่งหนานชวนไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก เผยอิงพยักหน้าเอ่ย “ตอนที่ฉันย้ายบ้าน จู่ๆก็มีผู้ชายใส่สูทสองคนโผล่มาช่วย แล้วตอนที่ฉันโดนแฟนๆ ล้อมที่งานแจกลายเซ็น พวกเขาก็โผล่มาช่วยฉันไว้อีก”

พอเธออธิบายซ่งหนานชวนก็เข้าใจว่าเธอหมายถึงใคร พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดที่เขาจ้างไว้ดูแลเธอ ไม่ใช่อะไรที่เขาพยายามจะปกปิด เขาเลยพูดเรียบๆ “พวกเขาเป็นบอดี้การ์ดที่ฉันให้เซียวจางหามาให้น่ะ”

“บอดี้การ์ดเหรอคะ”

“อืมม์ ก็เธอเคยมีโรคจิตตามตื้อนี่น่า ฉันกลัวว่าจะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอีก เลยให้พวกเขาคอยตามดูแลเธอน่ะ”

“อ้อ พวกเขาเป็นคนของคุณนี่เอง” เผยอิงคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ย “แต่ทุกอย่างก็ปกติดีแล้ว คุณก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะค่ะ”

“เก็บพวกเขาไว้เถอะ พวกเขาจะไม่รบกวนอะไรเธอ ถ้ามีอะไรที่ต้องใช้แรงก็ให้พวกเขาจัดการให้”

“…คุณก็พูดได้ แต่ค่าจ้างบอดี้การ์ดไม่ใช่ถูกๆ สักหน่อย”

ซ่งหนานชวนส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง เหมือนกับที่เคย “ฉันชอบใช้เงินเพื่อเธอ”

อืมม์ งั้นก็ได้

คืนนั้นหลังจากเผยอิงอาบน้ำ ก็เริ่มอ่านสคริป ซ่งหนานชวนก็มาตื๊อเธอเรื่องนั้นไม่หยุด เผยอิงผลักเขาออกก่อนส่งสายตาดุๆปราม “ฉันต้องท่องบทนะคะ ไปนอนเถอะค่ะ”

บอสซ่งนั้นไม่มีความสุขเสียเลย “ทำไมล่ะ สคริปละครหน้าตาดีกว่าฉันเหรอไง”

เผยอิง “….”

เขาพูดได้ดี จนเธอแย้งไม่ออก

พอเห็นเธอเหม่อ ซ่งหนานชวนก็กระโจนเข้าใส่เธอ ล้วงเข้าไปในคอเสื้อ เผยอิงก้มหัวหลบจูบของเขา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงรังเกียจและหงุดหงิด “เมื่อวานพวกเราก็ทำไปแล้ว ปล่อยฉันนะ”

หลังจากที่เธอขยับหัวหลบ ซ่งหนานชวนก็จูบไหปลาร้าเธอ ถามโดยไม่ปล่อยมือ “ใครบอกว่าถ้าเมื่อวานพวกเราทำแล้ว สองสามวันนี้พวกเราจะทำอีกไม่ได้ล่ะ”

“ฉันนี่แหละ! อาทิตย์ละสองครั้ง! แค่นี้พอ!”

ซ่งหนานชวนห่อปาก “สองครั้งเหรอ ไม่น้อยไปหน่อยเหรอไง”

“ไม่ค่ะ ไม่น้อยสักนิด เป็นอัตราปกติด้วยซ้ำ”

ซ่งหนานชวนมองเธอ “งั้นวันละครั้งเป็นไง”

เผยอิง “….”

เธอดันซ่งหนานชวนออกไป คว้าสคริปขึ้นมา “ฉันต้องท่องบท หยุดรบกวนฉันได้แล้ว”

ซ่งหนานชวนเห็นว่าเธอตั้งใจจะอ่านบทจริงๆ ก็เลยเข้านอนด้วยอารมณ์กราดเกรี้ยว เขาถึงขนาดนอนหันหลังให้เธอ เผยอิงทวนบทอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนปิดไฟเข้านอน

ทันทีที่เธอเอนหลังลง ก็รู้สึกถึงซ่งหนานชวนที่ขยับเข้ามาใกล้ ดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอด

เผยอิงหัวเราะ มองไปทางเขาท่ามกลางความมืดมน “คุณยังไม่นอนเหรอคะ”

ซ่งหนานชวนพยักหน้าสองที ตอบอย่างเนือยๆ “ฉันนอนไม่หลับถ้าไม่มีเธออยู่ในอ้อมกอดน่ะ”

“อ้อ เหรอคะ งั้นการนอนหลับของคุณตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี่คืออะไร”

“ฉันรู้สึกว่าฉันใช้ชีวิตตลอดยี่สิบเจ็ดปีมาอย่างสูญเปล่าน่ะสิ” เขาเอ่ยขณะที่มือก็เลื่อนขึ้นไปตามขาเผยอิง “แน่ใจเหรอว่าไม่อยากทำสักรอบน่ะ”

“…ฉันจะนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

ซ่งหนานชวนเห็นเธอหลับตา ไม่สนใจเขา เลยดึงมือกลับแบบเก้อๆ “ก็ได้ งั้นดอกเบี้ยวันนี้ทบต้นไว้พรุ่งนี้ละกัน”

เผยอิง “….”

เฮ้อ เขาไม่ยอมเสียเปรียบสักนิดเลยจริงๆ

การถ่ายละครเป็นไปตามกำหนดการอย่างเรียบร้อย เฉินเซิงแวะมาที่กองถ่ายครั้งหนึ่ง และบอกเผยอิงว่า พิธีกรที่งานแจกลายเซ็น เป็นเพื่อนของเซี่ยหาน

เขาไม่รู้แน่ชัดว่าการที่เธอขอให้เผยอิงนั้นร้องเพลงนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเซี่ยหานหรือเปล่า แต่คำชี้แจ้งอย่างเป็นทางการของเธอนั้นคือ เธอถูกบรรยากาศนำไปจนขอให้เผยอิงร้องเพลง

“เธอยังจำข่าวระหว่างเซี่ยหานกับซ่งหนานชวนได้ไหม” เฉินเซิงถาม “เห็นว่า เซี่ยหานมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักข่าวที่เขียนบทความนั้นน่ะ การมีอะไรแบบนั้นเธอเองก็คงรู้สึกแย่ไม่ใช่น้อย”

“แบบนี้นี่เอง” เผยอิงคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยกับเฉินเซิง “งั้นก็ปล่อยเธอให้ทำอะไรที่เธอต้องการไปก่อน พวกเราไม่มีหลักฐานว่าเธอพูดอะไรกับพีธีกรคนนั้น และมันก็ไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับฉันด้วย”

“เธอก็พูดไป แต่ใครจะรู้ว่าเซี่ยหานจะทำอะไรเธออีก ระวังตัวไว้หน่อยเถอะ”

“อืมม์ ฉันจะระวังค่ะ”

“งั้นก็ดี ฉันไม่รบกวนเวลาพักผ่อนเธอแล้ว ทำงานให้ดีล่ะ” แล้วเฉินเซิงก็จากไป

เผยอิงถือโอกาสเปิดเว่ยป๋อ และก็พบว่าจำนวนแฟนคลับของเธอนั้นทะลุล้านคนแล้ว ทุกคนนั้นเรียกร้องรางวัล

เผยอิงตื่นเต้นเรื่องนี้มาก เธออ่านความคิดเห็น และความคิดเห็นที่มีไลค์มากที่สุดคืออันที่เรียกร้องภาพ “ผลไม้” หรือภาพเปลือยนั่นเอง

….เอ๋ อยากได้รูปเปลือยงั้นเหรอ งั้นก็จัดไป!

พอเธอถึงบ้าน เธอก็งัดอัลบั้มรูปออกมา จนเจอรูปเธอตอนอายุไม่กี่เดือน แชะรูปก่อนโพสลงเว่ยป๋อ

และก็รอดูปฏิกิริยาตอบรับต่อ

“…ผมให้คะแนนรูปนี้ลบลบ (หัวเราะจนร้องไห้”

“แม้แต่ตอนเด็กๆ ขาเธอก็ย๊าวยาว”

“ฉันมีเป็ดสีเหลืองตัวเดียวกับที่ลอยอยู่ในอ่างน้ำเลย (หมาน้อย)

“รูปนี้ไม่นับ! (ชิชะ) (ชิชะ) (ชิชะ)”

“ฉันไม่เห็นอะไรเลย (*/w\*)”

หลังจากซ่งหนานชวนออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นเผยอิงหัวเราะคิกคักอยู่กับโทรศัพท์ เขาสงสัยเลยเดินมาดู “เธอดูอะไรอยู่ถึงมีความสุขขนาดนี้”

เผยอิงหันมามองเขา “อ้อ วันนี้จำนวนแฟนคลับฉันทะลุล้านแล้ว ดังนั้นทุกคนเลยขอรางวัล”

ซ่งหนานชวนเหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์เห็นรูปเปลือยของเธอ “นี่เธอตอนเด็กๆ เหรอ น่ารักดี”

สายตาเขาเลื่อนไปที่อัลบั้มรูปข้างตัวเผยอิง เขาหยิบขึ้นมาพลิกดู “ทำไมรูปคุณตอนเด็กๆ น้อยจัง”

“อ๋อ… พ่อแม่ฉันไม่ชอบถ่ายรูปฉันนะ แต่น้องชายฉันมีรูปเยอะแยะเลยนะ” ตอนเธอเด็กๆ อะไรๆ ก็ไม่สะดวกสบายแบบตอนนี้ที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาก็แชะรูปได้แล้ว ตอนนั้นคุณต้องเอาฟิล์มไปล้างและอัดรูป

พอได้ยินซ่งหนานชวนก็หน้าบึ้งตึง “ทำไมยังมีพ่อแม่ที่ไม่ชอบลูกสาวอยู่อีกนะ ตอนแม่ฉันรู้ว่าฉันเป็นลูกชายนี่เธอหัวเสียสุดๆ”

เผยอิงอดหัวเราะไม่ได้ เธอจำได้ว่าเขาเคยบอกเธอเรื่องนี้แล้วว่าแม่เขาอยากได้ลูกสาวมาก แต่กลับคลอดลูกชายออกมาสามคน ต้องน่าหงุดหงิดมากแน่ๆ ฮาฮาฮา

ซ่งหนานชวนดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดพูดเบาๆ “ตอนที่พวกเรามีลูกด้วยกัน ไม่ว่าเพศไหนฉันก็ชอบทั้งนั้น”

เผยอิงหน้าแดง “ใครอยากมีลูกกับคุณกัน”

“เธอนั่นแหละ”

เผยอิง “….”

เขาเอาอีกแล้ว

ซ่งหนานชวนวางอัลบั้มลง ดึงเผยอิงมาบนขา “ตอนนี้ทำไมพวกเราไม่ทำกันสักคนล่ะ”

“…คุณซ่งคะ พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันด้วยซ้ำ”

ซ่งหนานชวนกระพริบตา “เธอกำลังเสนออะไรอยู่หรือเปล่า”

เผยอิงห่อปาก หยิบอัลบั้มที่เขาวางขึ้นมา ยัดใส่มือเขาเอ่ย “ทำไมไม่ดูต่อล่ะ”

ซ่งหนานชวนโอบเอวเธอ กักขังเธอไว้ในอ้อมกอด ก่อนเริ่มพลิกอัลบั้ม “อืมม์… นี่น้องชายเธอเหรอ”

“อืมม์” เผยอิงก้มลงมองรูปก่อนตอบ

“น้องชายเธอไม่น่ารักเท่าเธอสักนิด”

เผยอิงหัวเราะ “แม้แต่ตอนเด็กๆ เด็กผู้หญิงก็ชอบน้องชายฉันมากเลย”

“ผู้หญิงพวกนั้นสายตาแย่จริงๆ” ซ่งหนานชวนส่ายศีรษะขณะพูดต่อ “พวกเราต้องสอนลูกสาวว่าห้ามตกหลุมรักหนุ่มที่ไหนก็ได้”

“…คุณคิดไปไกลเกินไปไหมคะ”

ซ่งหนานชวนหันมามองเธอ ริมฝีปากโค้งขึ้น “ถ้าการให้กำเนิดเด็กๆ นั้นไกลตัวเกินไป งั้นตอนนี้พวกเราควรจะหาความสุขจากประสบการณ์ในการผลิตลูกไปก่อน”

…วกไปวนมาอยู่นาน พวกเขาก็กลับมาที่เรื่องนี้อีกจนได้!

729329pwivylpc9n

ตาซ่งจอมหื่นกลับมาแล้วค่ะ

รักสี่ฤดู 11

ฤดูหนาวอันแสนอบอุ่น 1

ตอนนี้เซี่ยเหลียงไม่เจอซ่งฉีเหยียนมายาวกว่าหนึ่งเดือนแล้ว

หลังจากที่ซ่งฉีเหยียนส่งข้อความเสียงมาให้เธอวันนั้นแล้วก็ไม่ได้ยินข่าวอะไรจากเขาอีก

จนกระทั่งอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมาเขาส่งข้อความเสียงมาให้เธอ

[กลับจีนเพราะว่ามีเรื่องที่บ้านน่ะ]

เธอส่งเรื่องอื่นๆไปให้เขาด้วยแต่เขาก็ไม่ตอบกลับ ถึงแม้เซี่ยเหลียงจะเป็นห่วงเขาเล็กน้อยแต่ก็คิดว่าเธอไม่ควรถามอะไรมาก จึงเก็บความเป็นห่วงนั้นไว้เงียบๆเพียงคนเดียว

ละครวิทยุ <ติงอิงกู่> นั้นคืบหน้าไปได้ด้วยดี โดยที่เซี่ยเหลียง นักแสดงนำของเรื่องนั้นได้รับกำลังใจจากความเป็นมืออาชีพของเป้ยเหยียนต้าต้า จึงเปลี่ยนสไตล์การทำงานที่อืดอาดชักช้ามาทำงานอย่างทุ่มเทจริงจัง แม้จะต้องอัดซ่อมหลายฉากก็ตาม ผู้บริหารโม่จิ่วที่เป็นสมาชิกของสตูดิโอที่ได้ยินว่าเซียวอวี้สามารถดึงตัวเป้ยเหยียนมาได้นั้นก็เริ่มทำงานตรวจสอบเสียงที่อัดมาอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน แถมทั้งเขาและเซียวอวี้อัดเสียงของเป้ยเหยียนเก็บไว้เป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวอีกต่างหาก โดยเอาออกมาฟังบ่อยๆ

“พวกเราจะดังแล้ว! พวกเราจะดังแล้ว!”  เป็นข้อความที่ทั้งโม่จิ่วและเซียวอวี้ตะโกนอยู่บ่อยๆในห้องแชทของกลุ่มโปรดักชั่น

พวกเขายังไม่ได้ประกาศว่าเป้ยเหยียนนั้นรับบทพระเอก แต่รับรองได้เลยว่าทันทีที่ประกาศออกไป ข่าวนี้ต้องกระจายไปทั่วแน่ๆ เรื่องที่สุดยอดเทพอย่างเป้ยเหยียน ที่ร้างวงการไปพักใหญ่ กลับมารับละครวิทยุแบบนี้ คงจะทำให้เหล่าแฟนคลับบ้าคลั่งไปหมดแน่ๆ

เซี่ยเหลียงไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าละครนั้นจะดังหรือเปล่า ละครทุกตอนมักจะได้รับความเห็นที่แตกต่างกันอยู่แล้ว เธอพอใจกับการที่ได้พยายามทำให้ดีที่สุดและพัฒนาเทคนิคการแสดงเสียง เธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่าการเป็นคนดังนั้นเป็นยังไง

แต่ว่า…….

หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันหยุดขอบคุณพระเจ้า เซี่ยเหลียงเงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจเป็นครั้งที่สามของวัน เมื่อไหร่ที่ตัวนำอย่างซ่งฉีเหยียนจะกลับมานะ เขาเงียบหายไปเลย

หลินเฉียนที่นั่งอ่านหนังสือจริงจังอย่างผิดปกติอยู่ฝั่งตรงข้ามเซี่ยเหลียงนั้น หงุดหงิดจนโยนหนังสือในมือทิ้ง “เซี่ยเสี่ยวเหลียง พอสักที ยอมรับเถอะว่าเธอน่ะคิดถึงเขา รีบๆตัดสินใจโทรหาเขาได้แล้ว อย่ามาทำหน้าซึมกะทือแถวนี้นะ

เซี่ยเหลียงรู้สึกผิด มองเธอ “ขอโทษจ้ะ……..”

“ติ๊ง………”

ทันใดนั้นเองเสียงแจ้งเตือนข้อความใหม่ก็ดังขึ้น

เซี่ยเหลียงหยิบมือถือขึ้นมาช้าๆ ก่อนสายตาจะส่องประกายวิบวับทันทีที่เห็นชื่อบนหน้าจอ

หลินเฉียนกลอกตา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเป็นคนส่ง ต่อให้เป็นก้อนหินก็ยังรู้เลย

สองนาทีถัดมา หลินเฉียนก็ยังเห็นเซี่ยเหลียงจ้องหน้าจอมือถืออยู่ด้วยสีหน้าว่างเปล่า เลยถามอย่างอ่อนโยนว่า “เป็นอะไรไปน่ะ”

เซี่ยเหลียงเงยหน้ามองเธอแบบอึ้งๆ “รุ่นพี่ซ่งชวนฉันไปบ้านป้าเขาในซีแอตเทิลระหว่างวันหยุดขอบคุณพระเจ้าน่ะ……….”

หลินเฉียนเอ่ยเรียบๆ “ก็ไปสิ”

เซี่ยเหลียง “แต่ว่า……..”

หลินเฉียน “ถ้าเธอยัง แต่ อยู่แบบนี้ ฉันจะตบเธอหัวหลุดแน่ๆ เขาชวนเธอ เธอก็ไปสิ พอเขาเงียบหายไปเธอก็มัวแต่ง้องแง้ง ตอนนี้พอเขาชวนเธอ เธอก็ยังมาอ้ำอึ้งอะไรอยู่ พอได้แล้วนะ” พ่อของหลินเฉียนนั้นมาจากปักกิ่ง และแม่เป็นคนเซี่ยงไฮ้ เธอโตในปักกิ่งและไปเรียนที่เซี่ยงไฮ้ตอนมัธยม ตอนนี้หลินเฉียนเหมือนราชินีผู้ทรงอำนาจที่กำลังบงการเซี่ยเหลียงด้วยสำเนียงปักกิ่ง หลังจากที่หงุดหงิดมานาน”

เซี่ยเหลียงเม้มปาก “อ้อ…….”

หลินเฉียนกลอกตาอีกครั้ง

สำหรับชาวราศีเมถุนแล้ว การเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียนั้นมีแต่จะทำให้เธอตัดสินใจไม่ได้เท่านั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการทำให้เธอไม่มีตัวเลือก และไม่ต้องให้เธอพูดอะไร

โลกนี้ก็จะได้สงบเงียบเสียที……

จู่ๆหลินเฉียนก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตอนที่ซ่งฉีเหยียนอยู่กับเซี่ยเหลียงนั้นจะเป็นแบบไหน การที่เซี่ยเหลียงไม่ยอมตัดสินใจอะไรสักทีจะทำให้ซ่งฉีเหยียนคลั่งหรือเขาจะตัดสินใจให้เธอหมดทุกอย่างแทน เอ้อ… แค่คิดก็สนุกแล้ว

อ่ะ…….. นี่มันอะไรกันเนี่ย หลินเฉียนคิดเรื่อยเปื่อยไปพักหนึ่ง อ้อ สงสัยว่าจะเป็นความรู้สึกของแม่ที่ส่งลูกสาวแต่งงานออกไปแน่ๆ เด็กสาวที่เธอคอยดูแลมามากกว่าหนึ่งปี

ผ่านไปหนึ่งเดือนแต่ซ่งฉีเหยียนนั้นก็ดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เขาไม่ได้สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์พร้อมหมวกแก็ปตามปกติ แต่สวมชุดหนาขึ้นเพราะอากาศหนาว เสื้อเชิร์ตสีขาว กางเกงสบายๆสีครีม เสื้อกันลมสีกากี เขายืนตัวตรงโดยไม่สวมหมวกเผยให้เห็นทรงผมที่ไม่ยาวนักแต่ถูกเล็มอย่างเรียบร้อยอย่างชัดเจน เขากำลังยืนอยู่ตรงประตูอพาร์ตเมนท์ของเซี่ยเหลียง ก้มหน้ามองมือถือ ขนตายาวของเขาทอดเงาลงบนใบหน้า

เซี่ยเหลียงยืนอยู่ตรงทางโค้งของบันได มองอยู่สองวินาทีก่อนเดินลงไปอย่างรวดเร็วทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมาเมื่อเหมือนจะรู้สึกอะไรบางอย่าง

ซ่งฉีเหยียนเก็บมือถือใส่กระเป๋า ยิ้มน้อยๆ มองเธอ “ทำไมเงียบจัง”

เซี่ยเหลียงเอียงคอ ใบหูแดงนิดๆ “คือ………”

ซ่งฉีเหยียนยิ้มกว้างอย่างชัดเจน

เซี่ยเหลียงหันไปมองเขาให้ชัดๆอีกครั้ง ก่อนสังเกตุเห็นว่าเงาใต้ตาเขาไม่ใช่แค่เป็นเงาของขนตา แต่เป็นรอยดำจริงๆ “รุ่นพี่ พักนี้คุณนอนไม่พอเหรอคะ”

ซ่งฉีเหยียนก้มหน้ามองเธอ จ้องเข้าไปในดวงตาเธอเหมือนทุกครั้ง “ชัดขนาดนั้นเลยเหรอ”

เซี่ยเหลียงชี้ไปที่บริเวณใต้ตาของเขา ก่อนพยักหน้าอย่างจริงจัง

ซ่งฉีเหยียนยิ้มเหนื่อยๆ “ใช่ ช่วงนี้ฉันเหนื่อยมาก”

เซี่ยเหลียงนั้นกำลังจะถามว่าเขากลับมาอเมริกาเมื่อไหร่ ตอนที่ซ่งฉีเหยียนพูดขึ้นมาว่า “ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตกันเถอะ”

เซี่ยเหลียงมองป้ายวอลมาร์ทใกล้ๆ “โอ๊ะ”

พวกเขาเดินเข้าไปข้างในวอลมาร์ท ซ่งฉีเหยียนเดินนำไปที่แผนกแป้ง ก่อนหยิบแป้งมาถุงหนึ่ง ก่อนไปที่มุมตู้แช่งและหยิบ…..เซี่ยเหลียงมองรอบๆ เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร

ซ่งฉีเหยียนสบตาเธอ ก่อนอธิบาย “นี่คือครัสต์ เป็นด้านล่างของพาย”

เซี่ยเหลียงพยักหน้า เธอทำเป็นแค่อาหารจีนง่ายๆเท่านั้น เรื่องของหวานที่เธอไม่ได้เรื่องสักนิด

“ไปกันเถอะ รถฉันจอดอยู่ด้านนอก”

พอมาถึงที่จอดรถซ่งฉีเหยียนก็วางถุงวอลมาร์ทไว้ที่กระโปรงหลัง ก่อนเปิดประตูด้านคนขับ มองเซี่ยเหลียงแบบงงๆ “ทำไมไม่เข้ามาล่ะ”

เซี่ยเหลียงคืนสติ เปิดประตูที่นั่งข้างคนขับ ก่อนนั่งลง ส่งยิ้มอายๆ “อืมม์…..คือฉันแปลกใจนิดหน่อยค่ะ”

ซ่งฉีเหยียน “แปลกใจที่ฉันมีรถน่ะเหรอ” เขาหัวเราะน้อยๆ “ฉันอยู่ที่นี่มา………หกปีแล้ว การมีรถเป็นเรื่องปกติ ฉันไม่เคยเล่าให้เธอฟังว่าพ่อแม่ฉันอยู่ที่จีน แต่ฉันมีน้าคนหนึ่งที่แต่งงานกับคนอเมริกันเชื้อชาติจีน พวกเขาย้ายมาซีแอตเทิลหลังแต่งงาน น้าคนเล็ก[1]เป็นคนดูแลฉัน ปกติตอนเรียนฉันจะอยู่ที่อพาร์ตเมนท์ของตัวเองแต่ช่วงวันหยุดฉันจะไปที่บ้านพวกเขา

เซี่ยเหลียงตั้งใจฟัง ก่อนถอนหายใจ “ดีจังที่มีญาติอยู่ใกล้ๆน่ะค่ะ ฉันเป็นคนแรกในครอบครัวที่มาเมืองนอก”

ซ่งฉีเหยียนยิ้ม

ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงบ้านน้าของซ่งฉีเหยียน โดยมีระยะเวลาแค่เพียงสิบนาทีเท่านั้น ซ่งฉีเหยียนจอดรถ ก่อนถือถุงชอปปิ้ง พาเซี่ยเหลียงไปที่บ้าน

บ้านน้าเขานั้นกว้างมาก การตกแต่งนั้นอาจจะไม่หรูหราเท่าแมนชั่นในเมืองจีนแต่ก็ไม่ได้เรียบง่ายแบบบ้านครอบครัวอเมริกันทั่วไป มันทั้งทันสมัยและอบอุ่น

มีเสียงเด็กกำลังเล่นกันอยู่ดังมาจากห้องนั่งเล่น มีคนกำลังยุ่งอยู่ในห้องครัว หญิงสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากห้องครัวหลังจากได้ยินเสียงจากประตูหน้า เธอดูอายุราวๆสี่สิบปี สวมผ้ากันเปื้อนรอบเอว ไม่อ้วน และดูอ่อนโยนมาก

“มาถึงแล้วเหรอจ๊ะ” เธอทักพร้อมรอยยิ้ม ก่อนรับถุงจากซ่งฉีเหยียน

“สวัสดีค่ะ หนูชื่อเซี่ยเหลียง เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยของรุ่นพี่ซ่งค่ะ”

ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองซ่งฉีเหยียน ก่อนยิ้มให้เธอ “สบายดีไหมเสี่ยวเซี่ย เข้ามาสิ ไม่ต้องเปลี่ยนรองเท้าหรอกจ้ะ ทำตัวเหมือนอยู่ที่บ้านนะ เรียกน้าเล็กเหมือนอาเหยียนก็ได้ พอดีสามีฉันออกไปทำธุระเรื่องงานน่ะ เดี๋ยวจะกลับมาตอนบ่าย”

เซี่ยเหลียงมองซ่งฉีเหยียน เห็นเขากำลังก้มลงมองเธอ เลยพยักหน้าเงียบๆ เอ่ยทักเธออย่างสุภาพ “น้าเล็ก”

ซูเว่ยให้พวกเขาเข้ามา ก่อนร้องเรียกไปทางห้องนั่งเล่น มีเด็กหญิงอายุประมาณ 12 หรือ 13 สองคนวิ่งออกมาจากห้องนั่งเล่นทันที พวกเขาเป็นฝาแฝดกันแน่ๆ ทั้งคู่มีผมยาวสีเข้มเหมือนกัน ดวงตาสีน้ำตาล หน้าตาและรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด พวกเขามองเธออย่างใครรู่ ก่อนวิ่งไปข้างๆซ่งฉีเหยียน ตะโกนขึ้นมาทันควัน “อัลเบิร์ต!”

“รุณหวัด” ซ่งฉีเหยียนก้มลง ลูบหัวเด็กหญิงที่ละคน “แนะนำตัวกับซัมเมอร์สิ”

และเขาก็ลุกขึ้นยืน

เด็กทั้งสองมองหน้ากันเอง ก่อนเด็กหญิงทางซ้ายจะพูดก่อน “เฮ้ ซัมเมอร์ หนูชื่อแอนนี่” ก่อนเสริมเป็นภาษาจีน “ชื่อภาษาจีนหนูคือฉีหนิง”

คราวนี้เด็กผู้หญิงด้านขวามือพูดบ้าง “เฮ้ ซัมเมอร์ หนูคือแองจี้ อืมม์ ชื่อภาษาจีนของหนูคือฉีจิ้ง”

ซูเว่ยที่อยู่ข้างๆก็เริ่มบ่น “เอาล่ะ เอาล่ะ ลูกสองคนกลับไปเล่นได้แล้ว”

ซูเวยส่ายหัวแบบหมดหนทางขณะที่มองเด็กทั้งสองจูงมือวิ่งกลับไป “ชื่อนี่ไม่เข้ากับนิสัยของพวกเขาสักนิด ไม่สมกับเป็นหนิงกับจิ้ง[2]สักนิดเดียว”

ทั้งเซี่ยเหลียงและซ่งฉีเหยียนหัวเราะ

ซูเว่ยเอาถุงไปวางไว้ในห้องครัว พอออกมาก็เห็นซ่งฉีเหยียนนั่งอยู่เป็นเพื่อนเซี่ยเหลียงในห้องนั่งเล่น เลยอดตรงเข้ามาตบลูบแขนซ่งฉีเหยียน ด้วยสีหน้าจริงจังเป็นพิเศษไม่ได้ “อาเหยียน เธอไปนอนพักเถอะ ฉันจะดูแลเสี่ยวเซี่ยเอง”

ซ่งฉีเหยียนรู้จักน้าเล็กของตัวเองดี ปกติเธอจะเป็นคนอ่อนโยนแต่มีบางครั้งที่เธอจะหัวดื้อสุดๆ นอกจากนี้เขาเองก็เหนื่อยมากจริงๆ เหนื่อยจนปวดหัวไปหมด เลยพยักหน้า ก้มหน้ามองเซี่ยเหลียง

 

เซี่ยเหลียงที่ได้ยินเสียงเขาออกจะแหบแห้ง เลยดึงแขนเสื้อเขา “รุ่นพี่คะ คุณไปพักเถอะ ฉันไม่เป็นไร”

“ไปเร็วๆเข้าเถอะ” ซูเว่ยตบมือเขาเบาๆ

ซูเว่ยถอนหายใจหลังจากซ่งฉีเหยียนขึ้นไปข้างบนแล้ว “ฉันต้องคอยเป็นห่วงทุกคนตลอด” ก่อนหันมามองเซี่ยเหลียงพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน “อาเหยียนเพิ่งมาถึงเมื่อเช้าก็วิ่งไปรับเธอมาหลังจากนอนพักไปครู่เดียว เขาเป็นคนจู้จี้มากเลยนอนบนเครื่องบินไม่ค่อยหลับ ถ้าไม่พักผ่อนเลยจะไม่ไหวเอา สองสามอาทิตย์ตอนกลับจีนเขายุ่งมาก และอารมณ์ไม่ดีสุดๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาพักผ่อนแน่ๆ นิสัยเขาอาจจะดูนุ่มนวลแต่ที่จริงเขาดื้อมาก”

เซี่ยเหลียงฟังความคิดเห็นของซูเว่ยอย่างละเอียด แต่สมองเธอนั้นก็ไม่ได้สงบอย่างที่เห็นภายนอก

เขาไปรับเธอหลังจากที่ลงเครื่องทันทีจริงๆน่ะเหรอ อพาร์ตเมนท์เธอจะไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ จะให้เธอมาเองก็ได้ แค่บอกที่อยู่มาก็พอ

แล้วก็ที่บอกว่าเขายุ่งมากที่จีนและอารมณ์เสียสุดๆนี่หมายความว่ายังไงกันนะ

เซี่ยเหลียงซุกคำถามไว้ในใจ เพราะอายเกินกว่าที่จะถาม ได้แต่ถามซูเว่ยอย่างน่ารัก “น้าเล็กคะ ต้องการความช่วยเหลือไหมคะ อืมม์ ให้หนูเป็นผู้ช่วยนะคะ”

 

note-line-pink

 

[1] เสี่ยวอี้ เสี่ยวคือเล็ก อี้คือคำเรียกน้องสาวฝ่ายแม่ค่ะ

[2] หนิง แปลว่าสงบ จิ้งแปลว่าเงียบ